New Normal ในโลกการเงินที่จะเปลี่ยนไปหลังวิกฤตโควิด-19

10545

Cashless Society จะมาถึงเร็วขึ้น

          ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาด ได้มีการลดการใช้เงินสดลงไม่ว่าจะธนบัตรหรือเหรียญเนื่องจากเป็นแหล่งแพร่ระบาดของไวรัสอย่างดี ตลอดจนการขนส่งเงินสดที่ทำได้ลำบากขึ้นและสำคัญที่สุดคือการใช้จ่ายซื้อของผ่านออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากกระแส Work From Home  และ Social Distancing

          ผลที่จะตามมาหลังจากนี้คือการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มตัวอาจจะเร็วขึ้นเพราะผู้คนอาจเคยชินกับการซื้อของออนไลน์ไปแล้วและเริ่มรับรู้ว่าการใช้เงินสดมีข้อเสียอย่างไร ยังไม่นับรวมการขอรับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐที่ต้องทำเรื่องผ่านออนไลน์ ทั้งหมดนี้จะเร่งให้ Cashless Society เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

          ได้เวลาที่ CBDC จะเกิดขึ้นอย่างจริงจัง

          นอกจากการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์แล้ว ยังมีโอกาสที่สกุลเงินดิจิตอลของธนาคารกลางหรือ CBDC อาจจะเกิดขึ้นจริงๆหลังจากนี้

          โดย BIS หรือธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศได้ออกรายงานระบุว่าการแพร่ระบาดของไวรัสจะนำไปสู่พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคที่จะถือเงินสดด้วยความระมัดระวังมากขึ้น และจะมีการใช้วิธีชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ บัตรเดบิต เครดิตต่าง  รวมถึงช่องทางชำระเงินออนไลน์ที่มากขึ้น

          BIS ยังคาดการณ์ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันอาจทำให้โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินทางออนไลน์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และนี่อาจเป็นโอกาสดีที่ในการออก CBDC เนื่องจากประชาชนกำลังมีความต้องการสื่อกลางในรูปแบบดิจิทัลแทนเงินสด

          ขณะที่ ดอยทช์แบงก์ ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเยอรมัน ได้ชี้ให้เห็นว่า การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ทั่วโลก  ขณะนี้ เป็นการเร่งให้ธนาคารกลางต่าง  หันมาสนับสนุนและเร่งสร้างสกุล เงินดิจิตอล ของตัวเอง (CBDC) อย่างแพร่หลาย

          Cryptocurrency อาจจะเป็นที่นิยมมากขึ้น  

          นอกจากสกุลเงินดิจิตอลของธนาคารกลาง ในส่วนของสกุลเงินดิจิตอลที่รันอยู่บนบล็อกเชนแบบ Decentralize อย่างเช่น  Bitcoin อาจจะเข้ามามีบทบาทในโลกการเงินมากขึ้น จากการที่ธนาคารกลางใหญ่ของโลกต่างลดดอกเบี้ยลงต่ำเป็นประวัติการณ์

          ที่สำคัญคือการพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาอย่างไม่จำกัดของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ FED อาจส่งผลต่อการด้อยค่าของเงินดอลลาร์ในระยะยาวเนื่องจากซัพพลายที่มีออกมามากเกินไป ขณะที่ Bitcoin ถูกกำหนดให้มีซัพพลายจำกัดที่ 21 ล้านหน่วย ถ้าหากความต้องการเงินดอลลาร์ไม่ได้เพิ่มขึ้น ย่อมทำให้ค่าของเงินดอลลาร์ลดลง

          อย่างไรก็ตาม Bitcoin ก็ต้องมีความต้องการเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันถึงจะทำให้มูลค่าที่มีในตัวถูกแสดงออกมา นอกจากการมีคุณค่าในด้านซัพพลายที่จำกัดแล้ว

          ขณะที่สกุลเงินดิจิตอลอื่นๆอย่าง EThereum,Ripple,Litecoin ฯลฯ ก็มีโอกาสจะถูกนำมาใช้งานมากขึ้นตามกระแสของการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม Cryptocurrency จะยังไม่เข้ามาแทนที่ Fiat Currency อย่างเต็มตัวแต่จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น

          เงินหยวนจะมีบทบาทมากขึ้นและการมาของหยวนดิจิตอล

           เวลานี้ชัดเจนแล้วว่าประเทศจีนที่เป็นต้นกำเนิดของการแพร่ระบาดกำลังเป็นประเทศที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเร็วที่สุด ไอเอ็มเอฟ ยังประเมินด้วยว่าจีนจะเป็นประเทศเดียวที่ยังคงการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงบวกได้แม้จะเพียงแค่ 1% แต่เทียบกับประเทศในเอเชียอื่นๆและประเทศตะวันตกแล้วต้องถือว่าฟื้นตัวได้ดีที่สุด

          ที่สำคัญจีนยังมีความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ด้วยกิจกรรมภายในประเทศของตัวเองด้วยจำนวนประชากรที่มีอย่างมหาศาลโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวรวมถึงการส่งออกมากนักเพราะจีนกำลังเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจมาเป็นภาคบริการแล้ว

          การที่เศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของเงินหยวนที่จะก้าวขึ้นมาท้าทายเงินดอลลาร์ และล่าสุดทางการจีนเริ่มเผยความคืบหน้าของสกุลเงินดิจิตอลของเงินหยวนออกมาแล้ว จากก่อนหน้านี้มีแผนจะเปิดตัวในปีนี้แต่ล่าช้าออกไปจากการแพร่ระบาดของไวรัส-19

          หลังจากนี้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจีนจะอาศัยสถานการณ์ที่ตนเองฟื้นตัวจากไวรัสขยายอำนาจของเงินหยวนไปได้มากน้อยเพียงใด

          ทั้งหมดนี้คือ New Normal ของโลกการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานใหม่นี้ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งหมดภายในไม่เกิน 1-2 ปีจากนี้แน่นอน