ผู้จัดการกองทุนโหวต ตลาดหุ้นเกิดใหม่ดาวรุ่งปี 2564

ปี
2563 ที่ผ่านมา การลงทุนในทุกสินทรัพย์มีความผันผวนสูง
สืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกต้องชะงักลง อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา
การแพร่ระบาดในโซนเอเชียเบาบางลงกว่าฝั่งตะวันตกจึงทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในแถบเอเชียปรับตัวขึ้นตอบรับความคาดหวังการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สำหรับทิศทางการลงทุนปี 2564
การเงินธนาคาร ได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จำนวน 5 บริษัท
ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย
คือ โอกาสการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทน พร้อมคำเตือนแนบท้ายว่าสถานการณ์การลงทุนยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
ผู้ลงทุนจึงต้องตั้งการ์ด หรือควรใช้ความระมัดระวัง (Cautious และ
Selective) และกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต
วัคซีนต้านโควิด-19
ความหวังการฟื้นตัวของตลาดหุ้นโลก
สุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย
จำกัด กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวมมีทิศทางที่ดีขึ้น
ภายใต้ความคาดหวังต่อการพัฒนาวัคซีนที่น่าจะได้ใช้กันในวงกว้างกลางปี
2564อีกทั้งแนวโน้มการค้าโลกที่น่าจะดีขึ้นจากนโยบายของนายโจ
ไบเดนโดยตัวเลขเศรษฐกิจโลกบ่งชี้การฟื้นตัวในภาคการผลิตและภาคการบริโภค
ส่วนภาคบริการยังถูกกดดันจากสถานการณ์โควิดโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ว่าตลาดโลกจะมีทิศทางที่ดีขึ้นแต่จะยังมีความผันผวนต่อเนื่อง
โดยปัจจัยหนุนจากสภาพคล่องที่ล้นระบบในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงยังคงปกคลุมสูง เช่น
สถานการณ์โควิดที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
และปัจจัยทางการเมืองอย่างเบร็กซิต ( Brexit) อย่างไรก็ดี
หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจกว่าในเชิงเปรียบเทียบ
จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลัง
อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่ายังอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกจนทำให้เกิดภาวะนักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้น
(search for yield)อีกทั้งแนวโน้มพัฒนาไปในเชิงบวกจากการประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีน
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2546 บลจ.กสิกรไทย มองว่า มีปัจจัยหนุนจากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
และประเทศไทยจะยังเผชิญความท้าทายแต่คาดหวังว่าจะสามารถคุมโควิด-19 ได้
รวมถึงแนวโน้มการไหลเข้าของกระแสเงินทุนจากต่างชาติในตลาดเกิดใหม่
โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยซึ่งนักลงทุนต่างชาติได้ลดน้ำหนักการลงทุนมาต่อเนื่องกว่า
5 ปี โดยให้เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2564 ที่ประมาณ 1,550-1,600 จุด
บลจ.ไทยพาณิชย์ ชู 3 ธีมลงทุน
ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธีมที่น่าสนใจลงทุนในปี 2564 ประกอบด้วย
ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียตลาดหุ้นกลุ่มอิงกำลังซื้อในประเทศ และตราสารหนี้ High Yield อายุสั้น
โดยแต่ละธีมมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้
ธีมที่ 1 : ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย
ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย คาดว่าปี 2564 นี้จะได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนมีท่าทีผ่อนคลายลง เนื่องจากมาตรการการแข่งขันทางการค้าของนายโจ ไบเดน แตกต่างไปจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่มาตรการการจับกลุ่มทางการค้าแทนการขึ้นภาษีนำเข้า จึงคาดว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกันภายในกลุ่ม นับเป็นผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีแรงงานถูกเมื่อเทียบกับประเทศภูมิภาคอื่น ทำให้เป็นกลุ่มประเทศที่น่าสนใจในการร่วมมือทางการค้าด้วย
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในเอเชียยังมีความน่าสนใจสูง อาทิ Tencent, Alibaba, Samsung และ TSMC ซึ่งมีอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังสูงกว่ากลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐฯ ในขณะที่มูลค่าพื้นฐาน (12-month Forward P/E) ที่ถูกกว่า อีกทั้งตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของเซมิคอนดัคเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญในเอเชีย โดยเฉพาะในเกาหลีใต้
แม้กลุ่มประเทศในเอเชียจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ช้ากว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
แต่กำไรสุทธิต่อหุ้น และมูลค่าพื้นฐาน (Valuation)มีความน่าสนใจกว่า
ประกอบกับค่าเงินที่มีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดเกิดใหม่
กลุ่มประเทศที่น่าสนใจลงทุนอีกกลุ่มคือ กลุ่มอิงกำลังซื้อในประเทศ ซึ่งประกอบด้วย จีน และยุโรป เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันการเดินทางข้ามพรมแดนอยู่ แม้จะมีวัคซีนป้องกัน แต่คาดว่าวัคซีนจะเริ่มมีการแจกจ่ายอย่างแพร่หลายในช่วงปลายปี 2564ทำให้กลุ่มประเทศที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมีความน่าสนใจ
จีนเป็นประเทศแรกๆ
ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กิจกรรมทางเศรษกิจทั้งด้านการผลิตและการบริโภคฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่น
ขณะที่ยุโรป แม้จะมีการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 อีกเป็นรอบที่สอง
แต่รัฐบาลยุโรปได้ให้เงินสนับสนุนบริษัทผลิตวัคซีนหลายแห่ง
ทำให้ยอดจองวัคซีนของยุโรปอยู่ในระดับที่สูง และเป็นกลุ่มประเทศแรกที่ได้รับวัคซีน
ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นผู้บริโภค
สำหรับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในปี 2564 อาจมีความน่าสนใจน้อยลง เนื่องจากมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง ทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะถัดไป ส่งผลให้ความชันของ เส้นอัตราผลตอบแทน (US 2-10 Spread) ปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับ มูลค่าของตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยติดลบกลับมาเพิ่มสูงขึ้น และแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้นักลงทุนอาจเกิดความกังวลต่อการขาดทุนจากการบันทึกราคาตราสารหนี้ตามราคาตลาดในภาวะที่ดอกเบี้ยเริ่มปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่มีอายุยาว
อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบในกลุ่มตราสารหนี้ พบว่ากลุ่มตราสารประเภท High Yield ที่มีอายุสั้น มีความน่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับตราสารหนี้กลุ่มอื่น อาทิ Investment Grade ซึ่งมีส่วนต่างอัตราผลตอบแทนเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ภาครัฐค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านนโยบายขาดดุลการคลังอย่างมากในสหรัฐฯ และข่าวดีของการพัฒนาวัคซีน จะทำให้ความเสี่ยงของจากการผิดนัดชำระหนี้ของกลุ่ม High Yield ลดลงตามไปด้วย
เตือน Valuation หุ้นแพง ตลาดผันผวนฉับพลัน
อย่างไรก็ดี แม้ภาพรวมตลาดตราสารทุนทั่วโลกมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปี
2564 แต่ บลจ.ไทยพาณิชย์มองว่า ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือระดับมูลค่าพื้นฐาน
(Valuation) ที่แพงขึ้น
และความเสี่ยงเรื่องวัคซีน ทั้งด้านการแจกจ่ายวัคซีน รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีน
นอกจากนั้นความเต็มใจในการฉีดวัคซีนจากความกังวลเรื่องผลข้างเคียงอาจทำให้การแจกจ่ายวัคซีนไม่ได้รวดเร็วอย่างที่คาด
และอาจทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด
ประกอบกับประเด็นความเสี่ยงใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด เช่น
ข่าวการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ในต่างประเทศ
ที่สามารถสร้างความผันผวนในตลาดอย่างฉับพลัน เนื่องจากตลาดตราสารทุนทั่วโลกมี Valuation ที่แพง
จึงมีความเสี่ยงในการรับรู้ข่าวร้ายได้ง่ายยิ่งขึ้น
ชู หุ้นจีน อินเดีย เวียดนาม มาแรง
คมสัน ผลานุสนธิ กรรมการบริหาร
ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ บลจ.แอสเซท
พลัส มีมุมมองว่าตลาดหุ้นเอเชียน่าสนใจสูงมากโดยเฉพาะจีนที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้อีกมาก
รวมถึงเวียดนามที่เน้นขยายเศรษฐกิจในประเทศ
และวางตำแหน่งเป็นฐานการผลิตใหญ่ในอาเซียนในส่วนของตลาดหุ้นอินเดีย เป็นตลาดที่คาดว่าปีนี้จะปรับตัวขึ้นสูงอีกตลาดหนึ่ง
เพราะถึงแม้ว่าอินเดียจะเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงที่สุดในโลก
แต่รัฐบาลอินเดียเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลอังกฤษโดยอังกฤษนั้นมีบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า
เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตวัคซีนหลักของโลก จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าอินเดียอาจเป็นประเทศแรกๆ
ที่ได้รับการฉีดวัคซีน
นอกจากนี้
อินเดียยังเปรียบเสมือนเป็นศูนย์กลางด้านไอทีหลักของโลก
เห็นได้จากบริษัทเทคฯใหญ่จากทางฝั่งตะวันตกไม่ว่าจะเป็น Amazon, Facebookและ
Apple เริ่มไปลงทุนในอินเดียมากยิ่งขึ้นดังนั้นการลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดียจึงน่าสนใจมากในปีนี้
สำหรับหุ้นเวียดนามถือเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
และสามารถลงทุนในระยะยาวได้
เพราะเวียดนามยังถูกวางให้เป็นฐานการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สอดคล้องกับกระแสการพัฒนาทางเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น
ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ มอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ อีกทั้งประชากรกว่า 40%
ยังเป็นชนชั้นแรงงานในขณะที่ประเทศอื่นประชานส่วนใหญ่กำลังจะเข้าสู่สังคมผู้ศุงอายุเต็มตัว
ทำให้เวียดนามมีศักยภาพการผลิตที่สูงกว่าประเทสอื่น
บลจ.ยูโอบี
แนะบาลานซ์ความเสี่ยง
หุ้น-ตราสารหนี้
กุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการ
หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนสายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี
(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในปี 2564
ให้กลับมาคึกคักอีกครั้งว่ามี 2 ปัจจัยหลักคือวัคซีน
และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในรอบที่สองสำหรับประเทศไทยในปัจจุบันแม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มประเทศที่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดได้ดี
ภาครัฐยังคงใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
สำหรับมุมมองการลงทุนปี 2564 กุลฉัตร แนะนำว่าควรจะกระจายการลงทุนในต่างประเทศ เน้นการลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ โดยเน้นภูมิภาคตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของจีน (A-Shares) ได้แก่ Shanghai Stock Exchange (SSE) และ Shenzhen Stock Exchange (SZSE) หรือฮ่องกง และในบริษัททั่วโลก ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม
ตลอดจนกลุ่มเฮลท์แคร์
และแนวโน้มการเติบโตในด้านต่างๆผ่านการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท
เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนในทุกจังหวะการลงทุน
โดยมีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมระหว่างตราสารทุนและตราสารหนี้ที่มีผู้ออกตราสารอยู่ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่
นอกจากนี้ ยังเน้นลงทุนในบริษัทที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต
มีระบบการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ
และมีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนจากเงินลงทุนให้สูงขึ้น
บีแคป ชี้เป้าเลือกกองทุนปี 2564
เน้นกลุ่มธุรกิจยุคใหม่
ดร.ธนาวุฒิ
พรโรจนางกูร หัวหน้าสายงานการจัดการกองทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอล (บีแคป) แนะนำการลงทุนในกองทุนที่น่าสนใจประจำปี
2564 ที่สืบเนื่องมาจากกระแสโลกที่กำลังจับตากลุ่มตลาดเกิดใหม่
โดยมองว่าตลาดหุ้นจีนน่าสนใจมากที่สุด
และเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีสามารถเติบโตได้อีกมากในอนาคต
ซึ่งในปัจจุบันหุ้นเทคฯจีนนั้นกำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนเป็นอย่างมากและมีการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์รวมกับอุตสาหกรรมอื่นที่กลุ่มธุรกิจยุคใหม่
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์
รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่สอดรับกับแผนแม่บทในการพัฒนาของจีนในปัจจุบัน
อีกกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน คือ หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก (Mid/Small-Cap)ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้กับการดำเนินธุรกิจได้ดี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐและกระแสการลงทุนหลักของโลกที่เน้นกำลังซื้อในประเทศเนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันการเดินทางข้ามพรมแดนดังนั้นความต้องการบริโภคภายในประเทศจะยังสามารถเติบโตได้มากในอนาคต