หุ้นจีน-เทคโนโลยี อัพไซด์จำกัด ลุ้นกองทุนหุ้นไทยพลิกบวก

ปี 63 กองทุนหุ้นเทคโนโลยี ให้ผลตอบแทน 48.97%
กองทุนหุ้นจีน 18.89% มอร์นิ่งสตาร์ คาดว่าปี 64 กองทุนเหล่านี้มีอัพไซด์จำกัด
ส่วนกองทุนหุ้นไทยผลตอบแทนจากนี้ไปอาจขึ้นอยู่กับสภาวะหรือโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจว่าจะมีการเติบโตของธุรกิจที่มีรูปแบบหรือนวัตกรรมใหม่ในประเทศให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้มากน้อยเพียงใด
นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส
บริษัท มอร์นิ่งสตาร์รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า
ภาพรวมกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF)
ไม่รวม Term Fund ในปี 2564 มีแนวโน้มเติบโตจาก 2563
เนื่องจากปัจจุบันการลงทุนหุ้นไทยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงกลุ่มอุตสาหกรรมที่ชัดเจน
ทำให้ช่วงเดือนมกราคมส่วนใหญ่ยังเห็นเม็ดเงินไหลเข้าในกองทุนต่างประเทศ
อย่างกองทุนหุ้นจีนและกองทุนหุ้นเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุน FIF ในลักษณะดังกล่าว
ผู้ลงทุนต้องระวังเรื่องผลตอบแทนที่ในปี 2564 อาจไม่หวือหวาเท่าปีที่ผ่านมา
โอกาสที่ราคาปรับขึ้น (อัพไซด์) จำกัดแล้ว
เนื่องจากในปีที่ผ่านมาผลตอบแทนกองทุนดังกล่าวปรับขึ้นมาค่อนข้างมาก
กองทุนเทคฯ แชมป์แจกกำไร 49%
ข้อมูลจากมอร์นิ่งสตาร์ เปิดเผยว่า ณ สิ้นปี
2563 กองทุนหุ้นต่างประเทศ นำโดยหุ้นเทคโนโลยี ให้ผลตอบแทน 48.97%หุ้นโลก 23.73%
หุ้นเอเชีย 18.98% หุ้นเฮลธ์แคร์ 22.63%, หุ้นจีน 18.89% หุ้นตลาดเกิดใหม่ 9.36%
ด้านขนาดกองทุน FIF สิ้นปี 2563 ก็เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 8.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.5% จากปี 2563 ทำให้กองทุนดังกล่าวมีสัดส่วนที่
21% ของตลาดกองทุนรวมไทยที่มีมูลค่า 5 ล้านล้านบาท จากที่เคยมีสัดส่วนราว 10%ในปี
2559 โดยกองทุนหุ้นจีน กลายเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงสุดที่ 1.2 แสนล้านบาท
เติบโต 185% จากปีก่อนทั้งจากผลตอบแทนที่สูงเกือบ 19%
นอกจากนี้ มีเงินไหลเข้าลงทุนในกองทุนหุ้นจีนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี
2563 ประกอบกับในปีดังกล่าวมีกองทุนหุ้นจีนเปิดใหม่เพิ่มมากถึง 31 กองทุน
จากที่มีอยู่เดิม 40 กองทุน โดยกองทุนเปิดใหม่มีเงินไหลเข้าสุทธิรวม 3.1
หมื่นล้านบาท ทำให้โดยรวมกองทุนกลุ่มนี้มีเงินไหลเข้าสุทธิในปีที่ผ่านมาเกือบ 6
หมื่นล้านบาทในจำนวนนี้เป็นเงินไหลเข้าในช่วงไตรมาสสุดท้าย 2.3 หมื่นล้านบาท
กองทุนเปิดกรุงศรีไชน่าเอแชร์อิควิตี้
ชนิดสะสมมูลค่า (KFACHINA-A)
เป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของกลุ่มหุ้นจีน
ซึ่งเป็นการลงทุนแบบฟีดเดอร์ฟันด์ไปยังกองทุนจากบลจ.ยูบีเอส (UBS)ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดมาสเตอร์ฟันด์ด้านกองทุนหุ้นจีนสูงสุด
ทั้งนี้กองทุนหุ้นจีนของ UBS
ใน Share Class อื่นๆ ที่ขายในไทยนั้น
ยังสร้างผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ราว 33% และ 3 ใน 5 กองทุนยังได้รับ Morningstar Rating ระดับ
5 ดาวอีกด้วย
คาดปี 64 กองทุนหุ้นไทย ฟื้นตัว
นางสาวชญาณี กล่าวว่า สำหรับกองทุนหุ้นไทย ณ
สิ้นปี 2563 ผลตอบแทนกองทุนหุ้นไทย (ขนาดใหญ่) ติดลบ 10.41% ขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ย
10 ปี ยังเป็นบวกที่ 4.77% ถือว่าไม่ได้แย่กว่ากลุ่มอื่นมากนัก
และยังอยู่สูงกว่าหลายกลุ่ม เช่น หุ้นจีน หุ้นญี่ปุ่น หรือกลุ่มตลาดเกิดใหม่
ด้านผลตอบแทนกองทุนรวมในประเทศ อย่างกองทุนหุ้นไทยในปีนี้มีโอกาสปรับขึ้นมาใกล้เคียงระดับปกติได้
ตามแนวโน้มตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวในปีนี้ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19รอบใหม่
น่าจะคุมได้ดี ทำให้กิจกรรมต่างๆน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับกลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็ก
สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยสะสมทั้งปี
0.9% โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 10%
"ผลตอบแทนหุ้นไทยจากนี้อาจขึ้นอยู่กับสภาวะหรือโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจว่าจะมีการเติบโตของธุรกิจที่มีรูปแบบหรือนวัตกรรมใหม่ในประเทศให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้มากน้อยเพียงใด"
นางสาวชญาณี กล่าว
บลจ.ฉวยจังหวะตลาดปรับฐาน
ออกทริกเกอร์ฟันด์ เก็งกำไรหุ้นไทย
ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา บลจ.อินโนเทค
ได้ออกกองทุนเปิด อินโนเทค ทริกเกอร์ฟันด์ อีพี 3 (Innotech Trigger Fund Episode 3)
หรือ I-TEP3
เป็นกองทุนรวมผสม แบบไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น (ลงทุนหุ้นได้ 0-100%)
มีนโยบายการลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( SET) และตลาดหลักทรัพย์
เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
ใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก ทั้งการคัดเลือกหุ้นอย่างพิถีพิถัน (Stock Selection) และการจับจังหวะการลงทุน
(Market Timing) เพื่อให้กองทุนมีผลการดำเนินงานตามเป้าหมาย
นายสุรเชษฐ์ ศรีวัฒนกุลวงศ์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.อินโนเทค เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่กองทุนเปิดอินโนเทค
ทริกเกอร์ฟันด์ อีพี 2 (I-TEP2)
สามารถทำผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 5% ในระยะเวลาเพียง 26 วันทำการ
ต่อเนื่องจากกองทุนเปิดอินโนเทค ทริกเกอร์ฟันด์ อีพี 1 (I-TEP1)
ซึ่งทำผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 5% ในเวลาเพียง 10 วันทำการเท่านั้น
ประกอบกับปัจจุบัน
ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงพักฐานที่กรอบดัชนี 1,450-1,520 จุด ขณะที่ภาพรวมการลงทุนในหุ้นไทยยังคงสดใสอยู่
ทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2564 และปี 2565
การแจกจ่ายวัคซีนที่เพิ่มขึ้น สภาพคล่องในตลาดการเงินที่ยังคงมีอยู่สูง
และการดำเนินนโยบายการเงินการคลังอย่างผ่อนคลายของสหรัฐฯ ทำให้ บลจ.อินโนเทค
มองว่าการปรับฐานดังกล่าวถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสมหุ้นไทย
โดยการออกและเสนอขายกองทุนเปิดอินโนเทค ทริกเกอร์ฟันด์ อีพี 3 (I-TEP3)
ดังกล่าว