รู้จัก R3 และ Corda ระบบเบื้องหลังโปรเจกต์ “อินทนนท์”

ปี 2020 ที่ถือเป็นยุคทองของความก้าวหน้าและการพัฒนาของระบบการเงินและเทคโนโลยีหลากหลายแขนงในประเทศไทย
โดยเฉพาะข่าวคราวของการขยับตัวของแบงค์ชาติที่ประกาศพัฒนาโครงการ “อินทนนท์” โปรเจค Blockchain
นำร่องบาทดิจิทัลที่เล็งใช้ได้ทั้งภาคการเงินระดับสถาบันการเงินไปจนถึงการต่อยอดสร้างระบบการใช้จ่ายเงินในระหว่างภาคครัวเรือนต่อไปในอนาคต
โดยพัฒนาบนระบบ Corda ของ R3
ปกติหากพูดถึงระบบ Blockchain โดยทั่วไปแล้ว
ผู้คนมักนึกถึงพวก Blockchain
ของเหรียญชื่อดังทั้งหลาย เช่น Bitcoin Blockchain, Ethereum
Blockchain , หรือแม้แต่พวก Ripple ซึ่งในปัจจุบันก็มีแอปพลิเคชั่นมากมายที่ถูกสร้างออกมาเพื่อให้บริการ
Payment Gateway
เพื่อรองรับร้านค้าต่างๆ
ที่ต้องการรับชำระสินค้าและบริการเป็นสกุลเงินดิจิทัล
แต่ก็ยังไม่มีรายใดที่ถูกพัฒนาให้ใหญ่มากพอและถูกใช้ในองค์กรภาครัฐที่ต้องรองรับธุรกรรมมหาศาลต่อวันได้
ยกเว้นแต่ “R3 Corda”
แท้จริงแล้วชื่อ
R3 และ Corda คืออะไร?
บริษัท R3 เป็นบริษัทที่เกิดจากการรวมตัวขององค์กรชั้นนำด้านสถาบันการเงิน
ธนาคาร รวมไปถึงหน่วยงานของรัฐบาลเพื่อร่วมกันพัฒนาละคิดค้นโครงการด้าน Blockchain ที่สามารถนำไปพัฒนาและประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านการเงิน สำหรับประเทศไทยเอง
ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้เลือกใช้ระบบ Corda ในการพัฒนาโปรเจค
“อินนทนนท์” ซึ่งโปรเจคการเงินระดับสถาบัน
โปรเจค Corda เป็นโปรเจคแบบ Open source ที่มีชื่อเสียงที่สุดของกลุ่มบริษัท
R3 ได้รับการยอมรับและความนิยมจากสถาบันการเงินและธนาคารทั่วโลก ในฐานะ World Class Blockchain for
Enterprise ประเภท Financial Services
มาพร้อมแนวคิดและระบบที่เหนือกว่า
สำหรับระบบ Blockchain โดยทั่วๆ
ไปอย่างที่เรามักได้ยินที่ผ่านมา เราจะนึกถึงภาพโครงข่ายระบบการจัดเก็บข้อมูลขนาดยักษ์ที่ใครๆ
ในเครือข่ายต่างก็ถือข้อมูลชุดเดียวกัน
รับรู้ข้อมูลเหมือนๆ กัน
แม้ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกจัดเก็บอยู่ในรูปแบบการเข้ารหัสและชื่อบัญชีที่เป็นโค้ดลับ สิ่งนึงที่เหมือนๆ กันคือ “คนนอกที่ไม่เกี่ยวกับธุรกรรมนั้นๆ
แต่อยู่ระบบใน Blockchain เดียวกันต่างก็รับรู้และเข้าถึงข้อมูลได้เหมือนๆ
กัน” ต่อให้การเข้าถึงเพื่อแก้ไขข้อมูลเหล่านั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณมี
“กุญแจ” หรือรหัสในการเข้าถึงกลุ่มข้อมูลในส่วนนั้นเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงคือถ้าเอาระบบนี้มาใช้ในภาคธุรกิจจริงๆ
แม้จะมีความโปร่งใส
แต่คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่ข้อมูลภายในองค์กรถูกนำมาเปลือยให้ใครดูความลับในธุรกิจ หรือแม้กระทั่งปัญหาในเรื่องของความรวดเร็วในการทำธุรกรรมที่จะตามมา
กว่าจะรันแจ้งข้อมูลให้ทุกคนในระบบทราบ > ตรวจสอบเงื่อนไข
> ดำเนินขั้นตอนในการทำธุรกรรม ระบบจะใช้เวลาในการประมวลผลนานเกินความจำเป็น
นึกภาพว่าถ้าเป็นโครงข่ายด้านการชำระเงินที่ต้องรองรับการทำธุรกรรมระดับแสนธุรกรรมต่อนาทีคงจะไม่สะดวกสบายนัก
จึงมีแนวคิดในการพัฒนาระบบการเงินรูปแบบใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือ Corda ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านการจัดการที่ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยระบบ Distribute Ledger Technology (DLT) บนระบบ Blockchain โดยทั่วไปแล้วระบบ DLT นั้นเป็นข้อมูลที่สามารถทำให้ในการยืนยันในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง
โดยมีการส่งสำเนาข้อมูลในการทำธุรกรรมไปให้ทุกคนในระบบ โดยแนวคิดของโปรเจค Corda นั้นเดิมทีเป็นการต่อยอดพัฒนาระบบ
DLT ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
เป็นการสร้างแพลทฟอร์มที่ทำงานด้วยการยืนยันข้อมูลระหว่างผู้เกี่ยวข้องในธุรกรรมครั้งนั้นๆ
เท่านั้น เช่น ผู้ซื้อ > สร้างออร์เดอร์ไปยังผู้ขาย
> ระบบตรวจสอบออร์เดอร์ในคลังว่ามีของครบพร้อมจัดส่ง
> ธนาคารธตรวจสอบว่ามียอดเงินเพียงพอและอนุมัติคำสั่งซื้ออัตโนมัติ
> ระบบตรวจสอบเสร็จสิ้นและทำการจัดส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อโดยอัตโนมัติ
โดยการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมนั้นจะกระทำระหว่างคู่ค้าในระบบเท่านั้น
สำหรับประเทศไทยเอง
โปรเจคอินทนนท์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้นำเทคโนโลยีตัวนี้มาช่วยพัฒนา ล่าสุด (ปี 2563) ได้มีความคืบหน้า
นำระบบที่พัฒนาขึ้นไปทดลองปรับเข้ากับระบบการจัดซื้อจัดจ้างของบริษัทระดับมหาชน
SCG เพื่อทดลองนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในภาคเอกชนต่อไป