คาดตลาดหุ้นไทยยังผันผวน แนะทยอยเก็บหุ้นผลประกอบการดี

ตลาดหุ้นไทยเดือนพฤษภาคมนี้
คาดว่าจะยังมีความผันผวนสูง
โดยตัวแปรหลักของตลาดยังคงเป็นสถานการณ์สงครามยูเครน-รัสเซียที่ตลาดหุ้นทั่วโลกถูกกระทบมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่วนตัวแปรในประเทศ ก็คือการรายงานงบไตรมาส 1 ปี
2565
ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งประเมินว่าเรื่องของการระบาด
Covid-19
จะกระทบตลาดหุ้นไม่มากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจยังสามารถเดินไปต่อได้
แต่ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบในตลาดประเทศอยู่บ้าง
โดยเฉพาะการเมืองที่จะมีการประชุมสภาฯ และการอภิปรายรัฐบาลชุดนี้
ด้านกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี
(ประเทศไทย)
แนะนำให้จับกระแสเรื่องผลประกอบการไตรมาส 1 ของ บจ.ที่ถูกคาดว่าจะออกมาดี และทยอยเก็บหุ้นที่ราคาปรับลงมามาก
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุในเดือนพฤษภาคมนี้ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำหุ้น AOT, GLOBAL และ TIDLOR บล.ไทยพาณิชย์แนะนำหุ้น BDMS, CPALL และ GULF ด้านการลงทุนต่างประเทศ
บล.ดีบีเวส วิคเคอร์ส แนะลงทุน กลุ่ม Payment รับภาคบริการทั่วโลกฟื้นตัว
บล.เคทีบี (ประเทศไทย)
แนะ 3 หุ้นเด่น AOT- GLOBAL -TIDLOR
บมจ. ท่าอากาศยานไทย : AOT ราคาเป้าหมาย 76.00 บาท
• ผลการดำเนินงานปกติ
2QFY22E ดีขึ้นต่อเนื่องทั้ง
YoY, QoQ เราประเมินผลการดำเนินงานปกติ
2QFY22E (ม.ค.-มี.ค.22) จะขาดทุนลดลงเป็น
-3.1-3.2
พันล้านบาท ดีขึ้นจาก 2QFY21
ที่ขาดทุน -3.7
พันล้านบาท และ 1QFY22
ที่ขาดทุน -3.5
พันล้านบาท โดยจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศเติบโตดีขึ้นมากเป็น 1.5
ล้านคน (+659% YoY, +76%
QoQ) จากการกลับมาใช้มาตรการ Test & Go ตั้งแต่
1
ก.พ. ขณะที่แม้การระบาด Omicron
จะอยู่ในระดับสูง แต่อาการรุนแรง
และอัตราการเสียชีวิตไม่มาก
รวมถึงหลายประเทศทั่วโลกได้มีการประกาศลดระดับความเข้มงวด
ส่งผลให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้นมาก เช่นเดียวกับจำนวนผู้โดยสารในประเทศที่ดีขึ้นเป็น
7.4
ล้านคน (+53% YoY, +23%
QoQ) ดังนั้น ส่งผลให้ผู้โดยสารรวมอยู่ที่ 9
ล้านคน (+77% YoY, +30%
QoQ)
• ผลการดำเนินงานปี
2HFY22E-FY23E จะเร่งตัวดีขึ้น
จากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว เราประเมินผลการดำเนินงานปกติปี FY22E-FY23E ดีขึ้นเป็นขาดทุน
-1.0
หมื่นล้านบาท และ กำไร 6.8
พันล้านบาท ตามลำดับ (ดีขึ้นจากปี FY21
ที่มีผลการดำเนินงานปกติขาดทุน -1.5
หมื่นล้านบาท)
เราคาดการณ์ปี FY22E-FY23E จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น
8
ล้านคน และ 42
ล้านคน รวมมั้งจำนวนผู้โดยสารในประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 33
ล้านคน และ 48
ล้านคน ตามลำดับ จากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวได้เร็ว
ตามการผ่อนคลายมาตรการสำหรับผู้เดินทางเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่ 1
เม.ย.22
ทั้ง Test&Go และ
Sandbox ให้ยกเลิกการตรวจ
RT-PCR 72
ชั่วโมง ก่อนเดินทางเข้าประเทศ
โดยปรับเป็นการตรวจ RT-PCR ในวันแรกเมื่อเดินทางมาถึงไทย
และตรวจ Self-ATK อีกครั้งในวันที่
5
รวมถึงอยู่ระหว่างพิจารณาจะยกเลิกการตรวจ RT-PCR ในวันแรกที่เดินมามาถึงไทย และเปลี่ยนเป็นตรวจ ATK แทน
โดยมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เป็นผู้รับรองผลการตรวจ เมื่อผลตรวจเป็นลบ
ถึงจะออกเดินทางท่องเที่ยวได้
ประกอบกับการเร่งปรับโควิดให้เป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่ 1
ก.ค.22
ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ง่ายขึ้น
คล้ายกับการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ
• แนะนำ
“ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 76.00
บาท อิง DCF (WACC = 7%,
terminal growth = 3.5%) โดย AOT จะได้ประโยชน์โดยตรงจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
นอกจากนั้น
ราคาหุ้นจะได้ปัจจัยบวกจากแนวโน้มการผ่อนคลายมาตรการด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารปรับตัวดีขึ้น
และผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บมจ. สยามโกลบอลเฮ้าส์ : GLOBAL ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท
• กำไรสุทธิ
1Q22E จะทำสถิติสูงสุดใหม่ เราคาดว่ากำไรใน 1Q22E
จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.01 พันล้านบาท หนุนโดย 1) รายได้ที่
1.02 หมื่นล้านบาท จากการกลับเข้าสู่ high
season ของค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง
และการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 3 สาขา YoY นอกจากนี้
SSSG ยังเติบโตได้ดีที่ราว +6-7% YoY 2) ด้าน
GPM คาดทรงตัวที่ 25.5%
จากราคาเหล็กที่เริ่มปรับตัวขึ้น และ SG&A/sales ที่
14.0% ทั้งนี้ รัฐบาลได้หยุดอุ้มราคาน้ำมันดีเซล
ซึ่งอาจเริ่มมีผลกระทบต่อค่าขนส่งใน 2Q22E
• คาดกำไรปี
2022E เติบโตอีก +4% YoY ประเมินกำไรสุทธิปี
2022E อยู่ที่ 3.49
พันล้านบาท (+4% YoY) หลักๆ หนุนโดยรายได้ที่ 3.68
หมื่นล้านบาทเติบโต +10% YoY จาก 1) โดยบริษัทยังคงแผนขยายสาขาในปีนี้ที่
7 สาขาในประเทศ และอีก 7-8
สาขาต่างประเทศ 2) ราคาเหล็กที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ปัจจุบันอยู่ที่ USD155/tonne ปรับตัวขึ้นมา 39% YTD 3) คาดสามารถคง
GPM ได้ที่ 25.5%
• แนะนำ
“ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท อิง PER ปี 2022E
ที่ 37x (peer average 33x) เราคาดว่าผลประกอบการของ GLOBAL
จะเติบโตได้ในระยะยาวจากการขยายสาขาต่อเนื่อง
เราคาดว่ากำไรสุทธิจะมีการเติบโตด้วย CAGR 2021-23E ที่
+8%
บมจ. เงินติดล้อ : TIDLOR ราคาเป้าหมาย 50.00 บาท
• กำไรสุทธิ 1Q22E จะทำสถิติสูงสุดใหม่ เราประเมินผลการดำเนินงาน 1Q22E ที่ 909 ล้านบาท (+16% YoY, +14% QoQ) หนุนโดย 1) สินเชื่อที่ขยายตัว +22% YoY, +5% QoQ ตามการขยายระยะเวลาโปรโมชั่นถึงเดือน มี.ค. 2022 และการเริ่มใช้ TIDLOR Card สำหรับรถ 4 ล้อเพิ่มขึ้น, 2) ต้นทุนทางการเงินปรับตัวลงต่อเนื่องอยู่ที่ 2.58% ขณะที่ 3) รายได้ค่าธรรมเนียมปรับตัวลดลง -7% YoY, -27% QoQ จาก i. รายได้การติดตามหนี้ที่ลดลง YoY และ ii. insurance commission ที่ลดลง QoQ เป็นปกติตามฤดูกาล และ 4) ค่าใช้จ่ายสำรองเพิ่มขึ้น +455% YoY, +12% QoQ เนื่องจากไม่มีการ reverse สำรองเหมือน 1Q21 และ NPL ปรับตัวขึ้นเป็น 1.3% จาก 4Q21 ที่ 1.2%
• แนวโน้มกำไรสุทธิ
2Q22E เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยการเข้าสู่ช่วง high
season ของธุรกิจปล่อยสินเชื่อ, ยอดขายประกันเพิ่มขึ้น
YoY จากฐานต่ำ, ต้นทุนทางการเงินลดลง
จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลง
• กำไรสุทธิปี
2022E จะขยายตัวอย่างมีนัย +30% YoY อยู่ที่
4.1 พันล้านบาท จาก 1) สินเชื่อขยายตัว
+20% YoY ตามจำนวนสาขา และผู้ใช้ TIDLOR Card ที่เพิ่มขึ้น,
2) รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น +31% YoY จากยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ที่เพิ่มขึ้นสูง
และรายได้นายหน้าประกันที่สูงขึ้น ตามสัดส่วนลูกค้าประกันภัยชั้น 1
ที่อยู่ในระดับสูงมากกว่า 50% ต่อเนื่องจากปลายปี 2021
จากสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และ 3) credit cost ที่ต่ำเพียง
109 bps จากการควบคุม NPL ให้อยู่ในระดับต่ำที่
1.4% และระดับ NPL coverage ที่สูงถึง
285%
• แนะนำ
“ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 50.00 บาท อิง 2022E PBV ที่
4.6x (+1.5SD above average PBV) จากผลการดำเนินงาน 1Q22E ที่จะเพิ่มขึ้น
และต่อเนื่อง 2Q22E รวมทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่
2022E-2024E EPS CAGR +22% และระดับ coverage ratio ที่สูง
และมากกว่าผู้ประกอบการ non-bank รายอื่น
บล.ไทยพาณิชย์
แนะ 3 หุ้นดัง BDMS- CPALL - GULF
บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ : BDMS ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท
• พรีวิว
1Q65: คาดกำไรปกติทำสถิติสูงสุด เราคาดว่า BDMS
จะรายงานกำไรปกติทำสถิติสูงสุดที่ 2.9
พันลบ. ใน 1Q65 เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า YoY และเพิ่มขึ้น
11% QoQ กำไรปกติที่เพิ่มขึ้นแรง YoY หลักๆ
จะได้แรงหนุนจากรายได้เพิ่มเติมจากบริการ COVID-19
ขณะที่กำไรปกติที่ดีขึ้น QoQ จะได้แรงหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งจากบริการที่ไม่เกี่ยวกับ
COVID-19 และบริการ COVID-19
และ EBITDA margin ที่กว้างขึ้น BDMS จะประกาศผลประกอบการวันที่
11 พ.ค. 2565
• บริการที่ไม่เกี่ยวกับ COVID-19 และบริการ COVID-19 แข็งแกร่ง ข้อมูลที่เราได้มาจากการพูดคุยกับ BDMS บ่งชี้ถึงบริการที่ไม่เกี่ยวกับ COVID-19 และบริการ COVID-19 ที่แข็งแกร่ง ในเดือนม.ค.-ก.พ. อัตราการครองเตียงสำหรับผู้ป่วยที่ไม่เกี่ยวกับ COVID-19 เพิ่มขึ้นสู่ 75% เทียบกับ 71% ใน 4Q64 และอัตราการครองเตียงสำหรับผู้ป่วยเกี่ยวกับ COVID-19 เพิ่มขึ้นสู่ 90% เทียบกับ 73% ใน 4Q64 BDMS ยังคงพบว่าปริมาณผู้ป่วยชาวต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่มาจากตะวันออกกลาง และกลุ่มประเทศ CLMV สำหรับพรีวิว 1Q65 เราใช้สมมติฐาน 1) รายได้จากกิจการโรงพยาบาลที่ 2.2 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 44% YoY และ 6% QoQ โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากบริการที่ไม่เกี่ยวกับ COVID-19 ที่เพิ่มขึ้นสู่ 1.87 หมื่นลบ. (+22% YoY และ 5% QoQ, 94% ของระดับก่อนเกิด COVID-19) และรายได้จากบริการ COVID-19 ที่ 3.5 พันลบ. (เทียบกับที่ไม่มีรายได้จากบริการนี้ใน 1Q64 และ +10% QoQ, 16% ของรายได้ 1Q65) และ 2) EBITDA margin ที่ 24.5% เพิ่มขึ้น 2.8ppts YoY และ 0.6ppts QoQ โดยเกิดจากรายได้ที่แข็งแกร่งและค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง
• พัฒนาการในปี
2565 BDMS ยังคงเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานผู้ป่วยคนไทยของบริษัท
อย่างต่อเนื่องด้วยการ 1) นำเสนอแพ็คเกจสุขภาพที่คุ้มค่า 2)
พัฒนาบริการดิจิทัล โดยบริษัทวางแผนเปิดตัวแอปพลิเคชั่นใน 3Q65
ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศด้านสุขภาพดิจิทัล และ 3) เสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มประกันสุขภาพภาคเอกชนผ่านทางการออกแพ็คเกจประกันสุขภาพแบบเอ็กซ์คลูซีฟ
โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยประกันสุขภาพภาคเอกชนจาก
31% ในปี 2564
สู่ 40-45% ในอนาคต BDMS ได้จัดตั้ง
Genomic Center ซึ่งจะใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมของแต่ละบุคคลเพื่อให้สามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำยิ่งขึ้นและให้การรักษาแก่ผู้ป่วยแบบจำเพาะต่อบุคคล
รวมถึงวางแผนดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน บริษัทวางแผนขยายบริการนี้ในต่างประเทศ เช่น
อาเซียนตอนบน ในปี 2566
• แนวโน้มกำไร
พรีวิว 1Q65 บ่งชี้ว่ากำไร 1Q65
จะคิดเป็นสัดส่วน 31% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา เราคาดว่ากำไร 2Q65
ของ BDMS จะเติบโต YoY แต่จะอ่อนตัวลง
QoQ เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นสำหรับบริการที่ไม่เกี่ยวกับ
COVID-19 อย่างไรก็ดี ความต้องการเข้ารับการรักษาโรค COVID-19
ในโรงพยาบาลที่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์จะช่วยเพิ่ม
upside ให้กับรายได้จากบริการ COVID-19
และกำไรใน 2Q65
รวมถึงประมาณการปี 2565 เราคาดการณ์กำไรปกติของ
BDMS ที่ 9.3 พันลบ.ในปี
2565 (เพิ่มขึ้น 21% YoY และคิดเป็น
98% ของระดับก่อนเกิด COVID-19) โดยอิงกับสมมติฐานรายได้เติบโต
8% และ EBITDA margin ที่
23.5% ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท ปัจจัยเสี่ยง
คือ จำนวนผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการชะลอตัวลง และการแข่งขันสูง
บมจ.ซีพี ออลล์ : CPALL ราคาเป้าหมาย 74.00 บาท
• คาดกำไรปกติฟื้นตัวใน
1Q65 เราคาดการณ์กำไรสุทธิ 1Q65
ของ CPALL ที่ 3.1 พันลบ. +19% YoY แต่
-54% QoQ เราไม่คิดว่าจะมีรายการพิเศษ ดังนั้นกำไรปกติ 1Q65
จะอยู่ที่ 3.1 พันลบ. +22% YoY และ
+11% QoQ โดยธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) ที่ดีขึ้น
และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากการจัดหาเงินทุนมาใช้ในดีล Lotus’s ที่ลดลง
จะมากเกินพอชดเชยส่วนแบ่งกำไรจาก MAKRO ที่ลดลงหลังจากเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้น
CPALL จะประกาศผลประกอบการวันที่ 11
พ.ค.
• ธุรกิจ
CVS ดีขึ้น เพราะได้แรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น
ใน 1Q65 เราคาดว่า SSS ของ
CPALL จะเติบโต 10% YoY (เทียบกับ
-17.1% YoY ใน 1Q64 และ +1.3% YoY ใน 4Q64)
สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เนื่องจาก COVID-19
มีผลกระทบน้อยลงท่ามกลางการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรในวงกว้างและการผ่อนคลายมาตรการกระตุ้นที่ผู้ประกอบการค้าปลีกโมเดิร์นเทรดไม่สามารถเข้าร่วมได้
เช่น คนละครึ่ง
เราคาดว่า CPALL จะเปิดร้านสะดวกซื้อใหม่
150 สาขา ซึ่งจะส่งผลทำให้บริษัทมีสาขารวมทั้งหมด 13,284
สาขา ณ สิ้น 1Q65 (+6% YoY และ +1% QoQ) มาร์จิ้นมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับทรงตัวหรือลดลง
YoY โดยเกิดจากการมีสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มอาหารพร้อมทานและสินค้าแพ็คใหญ่ที่ให้อัตรากำไรต่ำเพิ่มมากขึ้น
และค่าใช้จ่ายในการป้องกัน COVID สำหรับร้านค้าและศูนย์กระจายสินค้าที่ยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น
• ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง
(เฉพาะกิจการของ CPALL) ใน 1Q65 เราคาดว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของ CPALL
(ไม่รวมค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจาก MAKRO) จะอยู่ที่
2.5 พันลบ. -14% YoY ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
CPALL ได้รีไฟแนนซ์หนี้ที่เกี่ยวข้องกับดีล Lotus’s
จาก bridging loan ระยะสั้น
เป็นหุ้นกู้ระยะยาวแล้วในเดือนมี.ค. 2564 และมิ.ย. 2564
เราประเมินต้นทุนทางการเงินทั้งหมดได้ที่ระดับเฉลี่ย 3.3%
ต่อปี ใน 1Q65 เทียบกับ 4.5%
ต่อปี ใน 1Q64
• ส่วนแบ่งกำไรจาก
MAKRO ลดลง ใน 1Q65 CPALL มีสัดส่วนการถือหุ้น
60% ใน MAKRO (B2B และ
B2C) เทียบกับสัดส่วนการถือหุ้น 93% ใน
MAKRO (B2B) และ 40% ใน Lotus’s (B2C) ใน 1Q64
เราคาดว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นจะส่งผลทำให้ส่วนแบ่งกำไรสุทธิที่ CPALL
จะได้รับจาก MAKRO และ Lotus’s ใน 1Q65
ลดลง ~200 ลบ. YoY (การเติบโตของกำไรปกติ
1Q65 ของ CPALL ลดลง
9%)
แม้คาดว่า MAKRO (ถือหุ้น
99.99% ใน Lotus’s ตั้งแต่วันที่
25 ต.ค. 2564) จะรายงานกำไรปกติเพิ่มขึ้นที่
2.36 พันลบ. ใน 1Q65 +36% YoY โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจ
B2B ที่ดีขึ้น (+7% YoY) และกำไรจากธุรกิจ
B2C (+29% YoY) แต่ -8% QoQ เพราะปัจจัยฤดูกาล
สำหรับธุรกิจ B2B นั้น SSS มีแนวโน้มที่จะเติบโต
2% YoY โดยอัตรากำไรขั้นต้นจะกว้างขึ้นจากการมีสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มอาหารสดที่มีอัตรากำไรสูงมากขึ้นและการมีสัดส่วนยอดขายสินค้าให้กับลูกค้าร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมซึ่งให้อัตรากำไรต่ำลดลง
สำหรับธุรกิจ B2C นั้น
SSS มีแนวโน้มที่จะเติบโต 1% YoY ในประเทศไทย
แต่ลดลง 5% YoY ในมาเลเซีย โดยอัตรากำไรขั้นต้นจะกว้างขึ้น YoY
จากการมีสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มอาหารสดและสินค้าที่ไม่ใช่อาหารซึ่งมีอัตรากำไรสูงมากขึ้นและรายได้ค่าเช่าที่สูงขึ้นจากการมีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้น
ท่ามกลางอัตราค่าเช่าและอัตราการเช่าพื้นที่ในระดับทรงตัว QoQ
บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ : GULF ราคาเป้าหมาย 57.00 บาท
• จัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่กับ
Binance เพื่อเข้าสู่ธุรกิจดิจิทัลใหม่
เราได้จัดประชุมพิเศษกับผู้บริหารระดับสูงของ GULF เพื่ออัพเดทความคืบหน้าของแผนการลงทุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนล่าสุดในสินทรัพย์ดิจิทัลของ Binance และแผนการจัดตั้งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย
โดย GULF จะถือหุ้น 51%
ในบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่
ผู้บริหารยืนยันว่าการลงทุนครั้งนี้สอดคล้องกับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ GULF
ในธุรกิจดิจิทัล แม้ว่ายังประเมินผลประโยชน์ทางการเงินได้ยากในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม
แพลตฟอร์มธุรกิจที่มั่นคงและผลงานที่ดีของ Binance น่าจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการลงทุนครั้งนี้จะให้ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลในระยะยาว
ขั้นตอนต่อไป คือ การขอใบอนุญาตกับ ก.ล.ต. ซึ่งอาจใช้เวลาระยะหนึ่ง
ผู้บริหารคาดว่าศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจะสามารถดำเนินการได้ภายใน 3Q65
GULF จะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ US$10
ล้าน เพื่อจัดตั้งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
• การลงทุนใน
Binance จะสร้างผลกำไรได้มากขึ้นจากกำไรส่วนเกินทุน GULF
ยังได้แจ้งตลาดเกี่ยวกับการเข้าลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล BNB ซึ่งออกโดย
Binance ที่ส่วนลด 30%
จากราคาตลาดปัจจุบัน คิดเป็นมูลค่า US$50 ล้าน
การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนระยะยาวภายใต้มาตรฐานการบัญชี TAS 38 (สินทรัพย์ไม่มีตัวตน)
ผู้บริหารคาดว่าการลงทุนครั้งนี้จะสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดี เนื่องจากราคาเข้าซื้อน่าสนใจ
นอกจากนี้บริษัทยังได้เข้าลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิใหม่ (10% ของเงินระดมทุนทั้งหมด US$200 ล้าน) ของ Binance US คิดเป็นมูลค่า US$20 ล้าน ก่อนที่ Binance US จะเสนอขายหุ้น IPO ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผู้บริหารคาดว่าการลงทุนนี้จะสร้างกำไรส่วนเกินทุนจำนวนมากให้กับ GULF เนื่องจาก valuation ของหุ้นที่ได้มาคิดเป็น EV/ยอดขาย (ปี 2564) ได้ที่ 16-17 เท่า และการเติบโตของรายได้ในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นสามเท่า GULF มีสิทธิที่จะทยอยขายหุ้นได้ทุกไตรมาสใน 4 ปีข้างหน้า แต่บริษัทวางแผนที่จะคงสัดส่วนการถือหุ้นไว้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในระบบนิเวศทางธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
• จำกัดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ที่ไม่เกิน
US$100 ล้าน GULF คาดว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับสามของ
Binance ในตลาดโลก ถัดจากดูไบ (สำหรับตลาด MENA)
และปารีส (สำหรับตลาดยุโรป) ผู้บริหารคาดว่า feature ทั้งหมดของ
Binance จะนำไปใช้กับ Binance ประเทศไทย
(ยังต้องได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต.)
GULF สามารถออกโทเคนใหม่เพื่อระดมทุนเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนในอนาคตหากมีโอกาส
บริษัทตั้งเป้าใช้เงินลงทุนทั้งหมดในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไม่เกิน US$100
ล้าน (3 พันลบ.+) ผู้บริหารคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจดิจิทัลจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
แต่กำไรส่วนใหญ่จะยังคงมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้า ตามมาด้วยธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่ 10-15%
• คาดกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี
2565
แม้ว่าอาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งจึงจะเห็นส่วนแบ่งกำไรอย่างมีนัยสำคัญจากธุรกิจดิจิทัล
แต่เราคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานในปี 2565 จะยังคงแข็งแกร่ง YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากจากกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก
GSRC เนื่องจากโรงไฟฟ้าอีก 2
หน่วยซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 1,325MW จะเริ่มดำเนินการในเดือนมี.ค.และต.ค. 2565
นอกจากนี้โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในโอมาน (Duqm
SEZ) ซึ่งเปิดดำเนินการเรียบร้อยแล้วในเดือนธ.ค. 2564
จะสร้างส่วนแบ่งกำไรเต็มปี ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 40MW จากทั้งหมด
326MW ซึ่งจะทยอยเริ่มเดินเครื่อง ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH
(สัดส่วนการถือหุ้น 42.25%) เป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนกำไรปี
2565 โดยที่เราคาดว่า INTUCH จะสร้างส่วนแบ่งกำไรให้แก่
GULF เฉลี่ย 4-5
พันลบ.ต่อปี
• คงราคาเป้าหมายไว้
57 บาท ยังคงเรทติ้ง OUTPERFORM เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการปี
2565 ของ GULF โดยได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตใหม่ของโรงไฟฟ้า
IPP การรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล
โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในโอมาน และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ราคาเป้าหมายของเราที่
57 บาท/หุ้น
สะท้อนถึงกำลังการผลิตที่ยืนยันแล้วเท่านั้น
โดยที่ยังไม่รวมโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจดิจิทัล ราคาเป้าหมายของเราอิงกับมูลค่า DCF
ของธุรกิจหลักบวกกับมูลค่าของ INTUCH และ
SPCG โดยอิงกับราคาเป้าหมายของ consensus